29 มกราคม 2554

เจ็บกว่านี้มีอีกไหม?ร้องไห้ออกมาทำไม?

ฉันเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าเมื่อไหร่ฉันจะพบรักแท้สักที? มันคงเป็นคำถามที่ดูโง่เง่าไปแล้ว หลังจากที่ฉันพบว่าตอนนี้ความรักที่ฉันมีมันพังลงแล้วและคนๆนั้นคนที่ชื่อว่าเป็นคนรักของฉัน เขาเองที่ทำให้มันพังลง....

เจ็บ....ปวด.........คำนี้ต่อให้สะกดยังไงก็ไม่ลึกซึ้งพอเท่ากับความรู้สึกจริงๆหรอก กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องเผชิญกับความทรมานอย่างนี้อาจเป็นเพราะกรรมเก่าของฉันมั้ง คงทำเวรกรรมอะไรมามาก เลยไม่ประสบความสำเร็จเสียที

ฉันเคยบอกตัวเองและคนหลายๆคนว่าฉันเกลียดการโกหกที่สุด เพราะฉันมีความเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก สิ่งที่แย่และแย่ไปกว่านั้นก็คือถ้าความลับนั้นมันเป็นเรื่องเศร้าล่ะ ถ้าความลับนั้นมันทำให้คนนักต่อนักต้องหลั่งน้ำตาล่ะ แล้วจะปิดบังกันทำไม? ไม่มีอะไรในโลกที่แน่นอนจริงๆ

............เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของฉัน ฉันยอมรับว่าฉันเคยมีคนรักแต่ว่าฉันไม่เรียกพวกเขาเหล่านั้นว่าคนรัก เพราะว่าฉันคงรักไม่เป็น แต่ว่าฉันก็เสียใจทุกครั้งถ้าคนรักทำให้เสียใจ ผิดหวัง เศร้าโศกและมีน้ำตา ทุกๆครั้งที่เราคบกับใครสักคน ทุกคนมักจะหวังในใจว่า
เราจะเป็นเจ้าของเขาผู้เดียว เราจะรักเขาคนเดียวและมากกว่านั้นคือหวังให้เขามาเป็นคู่ชีวิตเรา
เพราะเหตุผลนี้มันเป็นไปไม่ได้สักที ฉันเลยอกหักและเสียใจมานักต่อนัก และแต่ละครั้งมันยากที่จะเยียวยา
กว่าจะหายดีก็ใช้เวลาค่อนเดือนค่อนปี ใจถึงจะเริ่มชินชา เหตุเพราะเราชินกับการได้รักใครสักคน เพราะเวลาอยู่ด้วยกันก็จะมีความสุข ประหนึ่งว่าโลกทั้งใบมีแต่เราสองคน แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อใครสักคนไม่ได้คิดเหมือนกันนั่นคือเขา แฟนเรา
.............สัญญานักต่อนักจากปากผู้ชายที่รักของฉัน มากมายเหลือเกิน ฟังจนสามารถท่องได้เหมือนแม่สูตรคูณ บ้างก็บอกจะรักจนแก่เฒ่า บ้างก็บอกจะรักจนตาย เวอร์ไปจนถึงรักกันในชาติหน้า ข้อความในสัญญาเหล่านี้มันคงไม่เกิดขึ้น ถ้าอีกฝ่ายไม่สนองรับ มีแต่อีกฝ่ายที่เสนอพูดเอง เปรียบเสมือนดังสัญญาในกฎหมายที่ฉันเรียนมา มันทำให้ฉันรู้ว่า มันไม่ถึงเป็นสัญญาเป็นแค่คำเสนอเท่านั้น ยิ่งเป็นแค่คำมั่น ก็ยิ่งเชื่อไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานขาดการพิสูจน์ จะให้เราไปตรวจสอบก็ดูจะไม่เหมาะสมเพราะหากเรายังติดคำว่าเกรงใจเขาอยู่ ติดว่ารักเขาอยู่นั่นเอง
...........กาลเวลาหมุนไปโดยเร็ว นับไม่ถ้วนเลยจริงๆกับคำว่าเสียใจในรอบปี และในแต่ละปี ฉันก็เศร้าโศกและซวยกว่าใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่คนรักส่งมอบกุหลาบให้แก่กัน รู้ไหม?ความลับที่กำลังจะบอกนั่นคือ ฉันอกหักก่อนวันวาเลนไทน์ แม้จะได้ดอกกุหลาบจากคนล้นหลามแต่นั่นมันมิใช่มาจากคู่รักของเราเลยและอีกทั้งโชคชะตามันก็มักจะกลั่นแกล้งฉันในตอนที่ฉันมีสอบปลายภาคด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำทำกรรมใครนักหนา ทำบุญแล้วบุญเล่า เจ้ากรรมนายเวรไม่ปล่อยเสียที จนเหนื่อยใจ อนึ่ง กล่าวถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คู่รักต่างพากันไปเคานท์ดาวน์กัน ควงสวีทหวานชื่น ในขณะที่ฉันนั่งเศร้าทั้งคืน บ้างก็นอนหลับข้ามปี บ้างก็นั่งดูนาฬิกาแล้วก็ส่งข้อความให้ผองเพื่อนและบ้างก็สวดมนต์ ซึ่งฉันก็เพิ่งเริ่มทำปีนี้เอง คิดว่ากุศลที่ได้ทำจะประทังชีวิตให้ราบรืื่น แต่มันกลับทรหดอะไรอย่างนี้ จนมันทำให้รู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ใจไปหมด จนไม่ยอมทำอะไร ไม่หลับไม่นอน ไม่ทานข้าว ในขณะเดียวกัน ที่คนทิ้งเราไป เขากลับมีความสุขรื่น หายวันหายคืนประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันเวลาผ่านไปเขากลับมีใหม่ดุจดั่งเจอแสงตะวันใหม่ มีเพียงเราที่นั่งมองดูความเหงา เดียวดาย อ้างว้าง สุดที่จะทน เพราะเราเป็นเพียงหิ่งห้อยที่ไม่อาจยอแสงได้อีกแล้ว....
............"คบกับใครก็ไม่เคยรอดเลยนะเอ็ง" คำดูหมิ่น เย้ยหยามเนืองนิตย์ของแม่ รู้ไหม?มันกลับเป็นคำที่ทำให้ฉันตอกย้ำตัวเองทุกนาทีเมื่อมีผู้ชายมาจีบ และแม้เขาจะดีสักเพียงใด สมองฉันก็คิดถึงคำนี้ทันที เหมือนว่ามันเป็นตัวกั้นให้ไม่ต้องคบใคร เพราะว่าเราอาจทำให้เขาเสียใจหรือผิดหวัง แต่ประโยคที่แม่กล่าวไว้นี้เองมันเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญที่ทำให้ฉันรู้ว่าจะทำอะไรเราต้องคิดรอบคอบก่อนตัดสินใจทำลงไป
................ทีแรกฉันคิดว่าฉันรอบคอบที่สุด และอีกอย่างการที่คนเราจะรักกันได้นั้นฉันคิดว่าความไว้ใจน่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับเป็นความคิดที่ล้าหลังไปเสียแล้ว เมื่อคนเราขาดคุณธรรม คุณธรรมข้อนั้นคือความซื่อสัตย์นั่นเอง หลายครั้งหลายหนเวลาคบใครสักคนฉันก็มักบ่นพึมพำว่าคนโน้นคนนี้โดนสวมเขา และแฟนของฉันก็โต้ตอบว่าน่าสงสารเพราะผู้ชายคนนั้นคงไม่ดีแต่คงไม่ใช่ผม ฉันไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไมทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนทำ และจะสงสารทำไม?สงสารฉันที่เป็นคนที่รักไม่ดีกว่าหรือ?ว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน และคนๆนั้นที่ถูกทำร้ายก็คงเป็นคนๆนี้ที่นอนไม่หลับ เพราะอาการอกหัก มานั่งร้องไห้เสียน้ำตาประกอบกับการสาธยายความน่าสมเพชของตัวเองลงบล็อกสถานที่ให้ความกรุณาในการพรรณนาชีวิตของฉัน
.................ณ ปัจจุบัน หลังจากที่อดีตอันร้าวร้านผ่านไปแล้วฉุกละหุกมันทำให้ฉันรู้ว่าฉันประมาทไป ความจริงแล้วหากเราไตร่ตรองดีๆก็จะพบว่า ตามพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ตอนใกล้ปรินิพพานว่า 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นสรุปได้หนึ่งข้ออัน คือ ความไม่ประมาท ดังนั้น เหล่าท่านทั้งหลายจงอยู่โดยความไม่ประมาท ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตอกย้ำความงี่เง่าของฉันได้อีก เมื่อฉันประมาท
หลายครั้งที่ฟังเพลง ฉันแปลกใจว่า ทำไมเดี๋ยวนี้เพลงมันสื่อในทาง..มือที่สามบ้าง ชู้ทางใจบ้าง กิ๊กบ้าง
ฉันคิดว่ามันคงเป็นอารมณ์ของผู้แต่ง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เป็นแบบนั้น ผู้แต่งคงมีจุดประสงค์เพื่อเอาใจคนส่วนน้อยในสังคมที่พบปะกับโหดร้ายจากความรัก ซึ่งมันเป็นความโศกเศร้าที่ละเอียดอ่อน จะอธิบายข้อมูลตามหลักจิตวิทยาเห็นทีจะไม่เพียงพอ เพราะว่าใจคนเราแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เพราะว่า .."การอกหักนั้น"มันเกิดขึ้นสองทางคืออารมณ์และความรู้สึก ส่งผลให้ทุกส่วนของร่างกายนั้นต้องอ่อนแอไปด้วย ดังนั้นจึงมีคำว่า กำลังใจ เกิดขึ้น คนเราหลายคนอยู่ไดด้วยกำลังใจ ถ้าในตอนนี้ฉันจะบอกอย่างไม่อายปากว่าฉันยังไม่มีกำลังใจจากใครจะมีใครเชื่อฉันไหม? เพราะหลังจากที่เจ็บช้ำก็ไม่เห็นมีใครหน้าไหนมาสนใจมารับรู้ และหากเราไม่เล่าเขาเหล่านั้นก็คงจะไม่ยึดติดที่จะถามเราต่อไป....ฉันเลยอยากบอกกับทุกๆคนที่ผ่านมาทางนี้ว่า
"มิ้นเสียใจกับความรัก และเสียใจกับการตัดสินใจ การกระทำของตัวเอง มิ้นปวดใจที่คนรักที่มิ้นเคยหวังในตัวเขาทำให้มิ้นปวดใจ และยิ่งไปกว่านั้น มิ้นเสียใจที่ไม่มีเวลาเทคแคร์ครอบครัว ไม่มีเวลาให้พองเพื่อน เพราะมิ้นคิดตลอดว่า มิ้นมีคนรักคอยดูแล แต่ถ้ามองจริงๆแล้ว เขาดูแลเราไม่ได้หรอก ยังห่างไกลและฉันก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะอิสระจากโลกใบนี้ จึงเป็นเหตุทำให้ฉันต้องมาเจ็บมาทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่กล้าออกไปเผชิญแสงตะวัน ไม่รู้วันรู้คืน เห็นดาวเห็นเดือนกับใคร เพราะท้ายแล้วก็ต้องจมปรักกับความรักที่ทิ่มแทงใจ ยอมรับจากปากว่า ยังถอดเหล็กหรือหนามเล่มใหญ่นี้ไม่ได้ แต่เชื่อว่าเวลามันจะประโลมใจ และเชื่อว่าถ้าหากได้กำลังใจมันก็คงจะดีขึ้นบ้าง"
..............เข้าเรื่อง ตอนนี้ฉันอยู่ปีสอง เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ฉันคิดว่าหลังจากที่ฉันเลิกกับแฟนคนเก่าๆของฉันมานานพอควร ฉันจึงไม่คิดอยากจะมีใคร ฉันคิดว่าคงไม่มีใครจะจริงใจจริงจังกับฉัน(ปัจจุบันก็ไม่มี)จนกระทั่งฉันได้พบเขา คนที่เรียกฉันว่าแม่หมู และฉันเรียกเขาว่าพ่อหมู เริ่มรักกันยังไงนั่นไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งที่ฉันเพิ่งคิดและได้เห็นก็คือความไม่ซื่อสัตย์ของเขา หมายถึงเขามีใครอีกคน ซึ่งฉันคิดว่าคนเรารักกันดีอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีใคร หรือคนที่ผิดเป็นฉันอีก ฉันปากจัด ขี้งอน เอาแต่ใจ จู้จี้ ขี้บ่น ไร้สาระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันก็เป็นคนดี ฉันไม่เคยนอกใจคนรัก ฉันมีแฟนทีละคน คบทีละคน
และแต่ละคนก็ไม่มีใครรักฉันและทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้จริงๆ พ่อหมูของฉันเป็นคนต่างจังหวัด เขาทำงานแล้วซึ่งข้อเท็จจริงประการอื่นฉันไม่อยากพูด แต่ที่พูดนี่หมายถึงเราไกลกัน แต่รู้ไหมคะใจข้างในฉันไม่ระแวงเขาเลย มีเพียงแต่บุคคลภายนอกที่เข้ามาทำให้ฉันระแวง ฉันคิดว่าถ้าฉันรักใครสักคนฉันไม่อยากเสียเขาไป ไม่อยากให้เขาเสียใจ ฉันเลยทำตัวสบายๆไม่คิดมากและใจก็จะได้โล่งๆ ความรักของเราเป็นไปโดยสวยงามถึงขนาดที่เพื่อนหลายคนเข้ามาแซวว่าหวานกันจัง บ้างก็ของให้เราสู้กับความรัก แต่ก็น้อยคนที่จะเข้ามาบอกฉันให้ระวังตัว คนผู้นั้นคือเพื่อนบางคนของฉันและแม่ของฉัน เขาเตือนสติฉันเสมอว่า พ่อหมูของฉันอาจทุ่มเทเพื่อแลกอะไรบางอย่าง หรือว่ากำลังปกปิดอะไรเรา ฉันเองแม่หมูซึ่งวันนี้ร้องไห้ด้วยความอับอายหลังจากที่เคยเขียนบทความหนึ่งดุจว่าจะรักกันยืนยาวจะมั่นคงต่อกันไปนานๆ แต่ที่ไหนมันกลับย้อนมาซ้ำเติมในวันนี้ ซึ่งพ่อหมูของแม่หมูนั้นเขาทำไม่ได้จริงๆ
..................เราคบกันอย่างหวานชื่น จนฉันเอง ที่ขึ้นชื่อว่า บ้างาน ต้องยอมเสียสละเวลาอันมีค่าไปเที่ยวผ่อนคลายกับคนรักและยอมทุ่มเทตนกับการทำงานหนักหักโหมเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเวลาที่พ่อหมูมาหา แต่เขาคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเวลาฉันทำอะไรให้ใครฉันไม่ค่อยพูดแต่ฉันจะทำเลย ทำลงไปเลยจะดีกว่านั่นเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ เหตุอาจเป็นเพราะฉันชอบเรียนกฎหมายอาญากระมังฉันเลยเน้นการกระทำและเจตนา คนเราจะตัดสินอะไร ให้ดูการกระทำของเขาเป็นหลักมิใช่คำพูด ดูเจตนาของเขาดีๆว่าเขามุ่งอะไร ถ้าคำพูดมิตรงกับการกระทำ หรือการกระทำมิตรงกับคำพูดแล้วแบบนี้จะหาความสุจริตใจได้อีกหรือ?
..................แม่หมูกับพ่อหมูรักกันมากๆ แรกๆคิดว่าแบบนั้น พ่อหมูพูดกับแม่หมูเสมอว่าจะแต่งงานกับแม่หมู จะรักแม่หมู มีแม่หมูคนเดียว พาคนโน้นนี้มารู้จัก ให้เราไว้เนื้อเชื่อใจ อยากได้อะไรก็พยายามเอาใจ หามาให้ ปรนนิบัติ บริการทุกอย่าง จนเราเชื่อใจและหลงเข้าใจว่าเขารักเราอย่างสุจริตใจ ประกอบทั้งคำพูดอ้อนๆตรงๆที่ใจแข็งๆของแม่หมูคนนี้มันรับไม่ค่อยได้ เพราะว่าแต่ล่ะครั้งที่ฟังมันใจอ่อนทุกที แต่ถึงกระนั้นก็เหอะแม่หมูคนนี้ก็ไม่อาจจะชล่าใจได้ต่อไป เมื่อความเป็นจริงมันสร้างความร้าวฉานให้เห็นกันเป็นตอนๆหรือเห็กฉะๆ ว่า พ่อหมูของแม่หมูไม่ได้รักแม่หมู มีแม่หมูคนเดียวเสียแล้ว ข้อความและการแสดงการเป็นคู่รักแบบเปิดเผยมันเป็นข้อดีและข้อเสียในตัว เวลาเลิกกันแล้วนี่สิคือปัญหา แต่ว่าข้อดีคือทำให้คนในสังคมบางกลุ่มรุ้ว่าเรารักกัน เป็นแฟนกัน เป็นข้อยืนยันทางอ้อมเท่านั้น ข้อยืนยันทางตรงที่มั่นคงที่สุดของคนเราคือการแต่งงานและการสมรสนั้นต้องถูกต้องตามกฎหมายบัญญัติ คือจดทะเบียนสมรสต่างฝ่ายจะได้มีสิทธิต่อกัน เพราะหากฝ่ายใดบิดพลิ้วไปมีหญิงหรือชายอื่นนอกจากภรรยาหรือสามีตนนั้นก็สามารถฟ้องหย่าได้ทันที โดยมิพึงต้องรออีกฝ่ายมายอมรับ เพราะศาลมองว่ามันเป็นเรื่องศีลธรรม ศาลจะถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาหย่าแก่กันแทนการแสดงเจตนาของคู่สมรสอีกฝ่ายก็ได้ ดังนั้น จึงไม่มีจุดยืนให้เรามั่นใจต่อไปได้เลยว่า คนที่เรารักมากๆในตอนนี้ เขาจะรักเรามากสักเพียงใด จึงยังมีความเชื่อที่มั่นคงอยู่ว่า มีแต่ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของตนเท่านั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์แท้ แต่หากพ่อแม่ได้มารับรู้ว่าลูกของตนทุกข์ถึงเพียงใดก็มีอาจกินได้อยู่ได้เยี่ยงกัน ดังนั้นความทุกข์ที่ฉันมีฉันไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว กลัวว่ามันจะสร้างความกลัดกลุ้มใจมากขึ้นเท่านั้น
.................ตามที่ได้ดูได้เห็นหลักฐานยืนยันการนอกใจของพ่อหมูที่ทำกับแม่หมูได้ลงนั้น คงมิพ้นสื่อต่างๆที่แม่หมูขาดไม่ได้นั่นคืออินเตอร์เน็ต ซึ่งบางทีมันเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งถ้ามีใครมาล่วงรู้ความลับของเรา แรกพ่อหมูพยายามแสดงความเปิดเผยใจขนาดให้รหัสผ่านอีเมลล์แก่แม่หมู จนลืมคิดไปสิว่าแม่หมูโตแล้ว ทำอะไรได้มากกว่าที่เป็น แต่ก็เสียใจได้มากกว่าที่ควร เมื่อแม่หมูรู้ความจริงนาทีแรกที่ตาเห็น ใจก็พลอยสลายไปด้วย น้ำตาแม่หมูไม่ได้หลั่งในทันทีแต่ว่ามันร้อนเนื้อร้อนตัวไปหมด มือไม้สั่น ประหนึ่งว่าจะขาดลมหายใจ ฟ้าผ่ามาที่กลางใจเพียงนั้น อาการแบบนี้มันเริ่มเกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อรู้ว่าแม่หมูเป็นมือที่สามเป็นคนมาทีหลังที่ไม่รู้ว่าพ่อหมูมีใครทำอะไรกลับใครไว้ มันคงเหมือนเพลง น้ำใต้เข่าที่แม่หมูชอบร้องกระมัง ในตอนนี้บทเพลงมันคงเยาะเย้ยเอาน่าดู เรื่องราวต่างๆกลับตอกย้ำใจที่ป่นปี้ว่า แผลเก่ายังไม่ทันหาย แผลใหม่ก็มาสร้างรอยลึกเข้าไปอีก ซึ่งจะพูดว่าแม่หมูพ่อหมูกับคนๆนั้นอีกต่อไปมิได้อีกแล้ว คงเดินต่อไปมิได้อีกแล้ว เจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ และเชื่อว่าบุคคลที่เจ็บกว่านั้นคงเป็นผู้หญิงคนๆนั้นที่พ่อหมูแอบหนีเธอมา และก็ขอยกนิ้วให้เลยว่า พ่อหมูซึ่งไม่ใช่พ่อหมูนั้นเป็นฆาตรกรดีเด่นจริงๆฆาตรกรในการลักหัวใจลักความรักซึ่งแม่หมูไม่เคยมีให้ใครมากเท่านี้ และฆาตรกรในคดียิงปืนเข้าที่ใจจนเหยื่อคนนี้ต้องตายลง มันคงเป็นคดีแรกเลยสิท่า ที่ฉันเจอกับตัวเอง ฉันไม่เคยเป็นมือที่สามของใครแบบนี้ มีเพียงแต่การคิดเท่านั้น แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าการกระทำของฉันกำลังทำร้ายใครบางคน ซึ่งวันนั้นเธอเองเป็นคนเข้ามาคุยกับคนรักของฉันในเฟสบุ๊คที่เคยเป็นของฉัน แต่ว่่าให้เขาเล่นด้วย กรณีพิพาทจึงได้เกิดขึ้น เมื่อคนอีกคนแถลงข้อเท็จจริงหรือคำให้การไม่ตรงกับการกระทำ และคนรอบข้างเขานั้นจะโกหกฉันไปเพื่ออะไร หากมองถึงความเป็นมนุษย์ด้วยกัน การที่จะรักษาน้ำใจมิใช่การปกปิดหากแต่ว่ามันคือการเปิดเผย หากฉันรู้ฉันก็คงไม่ทำ เพราะฉันไม่อยากร้องเพลงนั้น"อยากเป็นคนรักไม่อยากเป็นชู้"
...............อยากไปให้ไกลสุดโพ้น อยากไปดินแดนที่มีแต่ความสงบ ไม่พบกับความเลวร้ายแบบนี้ อยากพบแต่ความสุขสงบเงียบงัน แต่ว่ามันจะเป็นได้ไงเล่า เพราะชีวิตคือชีวิต แม้ในแต่ละวันต่อจากนี้จะต้องกลับมายืนหยัดอยู่คนเดียวอีกครั้ง และแม้ว่าก้าวเดินนั้นจะโยกเยกโซเซบ้างคงไม่เป็นไร และแม้จะไม่อยากมีใครมาช่วยให้เดินตรงๆก็ตาม แผลที่ลึกเกิน จนหาแพทย์ดีๆที่ไหนในโลกรักษาไม่ได้ แพทย์ที่ดีที่สุดในตอนนี้คงเป็นกำลังใจและใจของเราเองที่จะเยียวยาตัวมันเอง แต่มันคงจะอีกนานแสนเข็ญ และอีกนานที่จะมั่นคงดังเดิม เพราะว่าชีวิตต้องเดินตลอดเวลา ต้องก้าวไป และชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆซึ่งมันเป็นข้อพิสูจน์ให้เราต้องคอยแก้ไขมัน แต่บ่อยครั้งแล้วที่ฉันเจอ จนไม่อยากเห็นมันอีก
...................และท้ายที่สุดของราตรีกาลแห่งความมืดมนและเงียบเหงาในวันนี้ คงหนีไม่พ้นกายาที่เมื่อยล้า มโนที่สลดลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงต้องต่อไป แม้วันพรุ่งนี้จะเจ็บกว่าที่เป็น แม้วันพรุ่งนี้จะไม่มีใครเห็นความรักน้อยๆที่มีค่าของเรา แม้ว่างานที่จะต้องทำจะออกมาแย่สุดแย่ หรือแม้ว่าจะหมดหนทางไขว่คว้าอะไรสักเพียงใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหยุดรัก แต่ว่าคนที่สมควรจะได้รับรักนั้นไม่มี และจะไม่มีอีกแน่นอน......

และคำถามในตอนนี้คือ ฉันจะมีความรักไปทำไม โหยหาไปทำไม?

บทความโดย ภุมริน

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ29 มกราคม 2554 เวลา 16:07

    ขอร่างกายผมนอนลงราบกับพื้น ที่เท้าคุณ
    ของวิญญาณของผม จงปกป้องคุณตลอดกาล
    ของทิ้งความหดหู่ เสียใจ และความท้อแท้ เอาไว้เบื้องหลัง
    วิญญาณ ผมคือเบื้องหน้า ของให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป

    ตอบลบ