
อีกตามเคยกับวันเวลาที่ล่วงไปทุกทีๆ นับตั้งแต่ที่เปิดภาคเรียนสุดท้ายของชั้นปีแรกของฉัน...
ดูมันช่างยาวนานถ้านับเวลาวันต่อวัน แต่มันก็ไวสำหรับฉันหากเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับวันเวลา
เนื่องด้วยสมองที่ล้ากับการคิด (คิดหลายเรื่องรวมกัน)บวกกับจิตใจที่ไม่ค่อยเข้มแข็ง
ทำให้เวลานี้ฉันต้องไม่สบายไปในที่สุด แต่ก็ยังคงความเป็นเด็กดื้อที่นอนดึกอยู่
หลังจากที่ลงโทษตัวเองให้ทบทวนวิชาที่ไม่ได้เข้าเรียน เพราะไม่เข้าเรียนตามเพื่อน
ดันมีเพื่อนคนเดียว(เหวิน)ก็เลยต้องตามๆกันไป...
....เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนี้จวนใกล้จะสอบแล้ว หนังสือสักตัวยังพอผ่านตาบ้าง แต่หาเข้าสมองไม่
มัวแต่ใช้เวลาไร้สาระไปวันๆ กับนิสัยเดิมๆที่เชื่องช้าของเรา ทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่
ตอนนี้ก็เหมือนกับแมวโดนไฟรนหาง ดิ้นไม่อยู่กับที่ เพราะใกล้จะสอบแล้ว แต่รู้สึกสมองจะล้าไปกว่าเดิม
เนื่องจากสุขภาพร่างกายย่ำแย่ เพราะก่อนหน้าที่จะมานั่งลงบล็อกไม่กี่วัน ก็กลับบ้านไปเอาใจพ่อด้วยการไปส่งท่าน
ไปเที่ยวงานพ่อขุนเม็งรายฯ นานๆทีท่านจะพาไป เพราะต้องทำงานที่ต่างจังหวัด ก็เกือบสามปีที่ไม่ได้ไป
แต่ตอนนี้งานพ่อขุนเม็งรายฯจากเดิมที่เคยจัด ณ สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย (ตอนนี้เป็นของโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)
ก็ย้ายไปจัดงานที่ สนามบินเก่า ไอ้เราก็ไม่เคยไป อยู่เชียงราย แต่ไม่ยักจะไปไหน เลยไม่กว้างขวางเรื่องการเดินทางสักเท่าไหร่
หนทางก็ไม่ไกลถ้านับจากบ้านฉัน (แต่อาจไกลสำหรับใครหลายคน) พอไปถึงงาน ก็ทำการถ่ายทำวิดีโอภาพ เล็กๆน้อยจากกล้องวีดีโอ
ของพ่อ ในงานก็เหมือนกับทุกๆปี มีการแสดงซุ้มแต่ละอำเภอ สินค้าotop สินค้าพื้นบ้าน ซุ้มสภากาชาด ลานดนตรี ลานคอนเสิร์ตของศิลปินดังจากค่ายต่างๆ โชว์รูมรถ และสินค้าประเภทต่างๆที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันมาจัดวางขายกัน แต่แตกต่างจากเดิมที่เคยไปคือ ดูไม่ค่อยครึกครื้นและจำนวนซุ้มการแสดงก็ดูจะหน่อยลง ข้อดีก็ตรงที่ว่า ไม่สับสนทางประตูเข้าและออก เพราะแต่เดิม มีหลายประตูให้เข้าออก พากันงงใหญ่ ลานจอดรถก็กว้างขึ้น มีที่ว่างสำหรับการจอดรถ(อาศัยที่เคยเป็นสนามบินเก่า) สำหรับงานพ่อขุนฯแล้ว หากใครจะไปเที่ยวดูการละเล่น การแสดง แนะนำให้ไปวันต้นๆของงานหรือวันเปิดงานก็ยิ่งดี(จะได้เห็นขบวนงามๆก๋ายเป็นแถวตวย) แต่สำหรับใครที่จะไปเที่ยวซื้อสินค้าแนะนำให้ไปวันสุดท้ายของการจัดงาน เพราะวันนั้นพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันลดราคากระหน่ำ เรียกความสนใจจากลูกค้าได้เลยทีเดียว ด้วยความที่อยากขาย แล้วก็เป็นวันสุดท้ายของงาน เลยลดราคากันเต็มที่
ใครที่มีวาจาศิลป์ในการต่อรอง ก็ย่อมได้เปรียบนิดหน่อยในการซื้อ ปกติงานพ่อขุนฯนัั้นจะจัดงานอยู่ประมาณ 9-10 วัน แต่ละปีก็จะมีพิธีบวงสรวงหรือสถาปนาสักการะพ่อขุน ก่อนจัดงาน ในวันนั้นก็มีวันบวงสรวงกันยกใหญ่ บางปีก็มีการบนบานไว้ ถึงประเพณีนิยมดั้งเดิมว่าการแต่งกายในปีนี้ควรเป็นสีใด
บ้างว่าแต่งกายสีนี้ไม่ดี บ้างว่าแต่งกายสีนี้จะมั่งมีเงินทอง ข้อมูลแท้จริงแล้วฉันก็ไม่ได้สืบเสาะมา จึงไม่อาจหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาพูดได้...
....จบเรื่องงานพ่อขุน ก็มาต่อถึงเรื่อง การร่ำการเรียนกันต่อ ว่าด้วยเรื่องแรกที่ชวนปวดหัวคือ ฉันกับเพื่อนรูมเมทในห้องอีกสองคน ทำการจองหอพักภายในมหาวิทยาลัยไว้เพราะตกลงกันแต่แรกว่าจะอยู่หอในกัน แต่เพื่อนอีกคนไม่ได้จองไว้เพราะต้องการไปอยู่หอนอก เรื่องมีอยู่ว่า ผลประกาศว่าใครมีสิทธิได้พักอยู่หอในมันดันออกมาชวนปวดหัว คือฉันมีสิทธิพักหอในคนเดียว เพื่อนอีกสองคนที่ว่า อีกคนได้แต่สำรองไว้ อีกคนไม่ได้ ปัญหาก็เริ่มเข้ามา อันที่จริงพักอยู่คนเดียวก็ดี ข้อดีคือ สงบ เงียบ ไม่วุ่นวาย ทำอะไรสะดวก แต่อย่าลืม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (ถึงแม้ฉันจะค่อนข้างชอบอยู่ตามลำพังก็ตาม)ก็ต้องอยู่ร่วมกัน ประเด็นนี้ฉันคงยังต้องคิดต่อไป
....แต่มาอีกเรื่องที่ชวนปวดหัวกว่าเดิม คือเรื่องสอบปลายภาคอะไรจะโหดขนาดนี้ ฉันพยายามทำใจอยู่หลายวันหลายคืน จนเจียนจะถอนใจ เพราะการเป็นนักศึกษากฎหมายในมอเรา หนึ่งข้ออย่างน้อยคือเราต้องอดทนกับการสอบปลายภาคแต่ละวิชาของกฎหมายด้วยการสอบทีเดียวหนึ่งร้อยคะแนนเต็ม(ไม่มีคะแนนเก็บ)ในแต่ละวิชากฎหมาย ซึ่งมันเสี่ยงมากๆ สำหรับคนที่ไม่ยอมอ่านเลยเหมือนฉันตอนนี้ เห้อ....ถอนหายใจยาวๆ อีกทั้งข้อสอบดันเป็นอัตนัยข้อเขียนทั้งหมด เรียนกฎหมายไม่ใช่ตัวเดียว ก็หลายตัวเลยทีเดียว ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่ความยากของมันก็ทวีคูณขึ้น ช่างท้าทายชีวิตอันเริงร่าของนักศึกษาเสียจริง แต่ก็ให้ทำยังไงได้ ฉันก็ยังเป็นฉัน คงต้องพยายามสักนิด เพราะอีกไม่นานคงได้พักผ่อนอีกยาว แต่ก็คงไม่ได้พักสักเท่าไหร่ เพราะฉันชอบหาเรื่องปวดหัวใส่ตัวเองอยู่เรื่อยเลย...
จบ.
การเรียนแม้เหนื่อยยาก
ต้องลำบาก อย่าท้อถอย
สุดทางที่รอคอย
คืออนาคตอันงดงาม
บทความโดย ภุมริน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น