27 พฤศจิกายน 2552

บทความ อีกนานไหมที่ฉันจะเป็นแบบนี้


"ตึงกู่วันกู่คืน เฮาต้องเป๋นจะอี้ แหมเมินก่อ ก่อคือปวดหัวไปวันๆ"
(ทุกวันทุกคืน ฉันต้องเป็นแบบนี้ อีกนานไหม คือปวดหัวไปวันๆ)
บางครั้งรู้สึกท้อและมันเหงาใจชอบกล มันเหมือนมีมารมารบกวนใจเสมอ ไม่รู้จะปลดปล่อยยังไง ฉันต้องยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรไปหาพ่อ พ่อยิ่งไม่ค่อยมีเวลา เพราะว่าไปทำงานต่างจังหวัด ตอนนี้ทำงานที่จ.น่าน ไม่รู้จะมีโอกาสกลับบ้านอีกเมื่อไหร่ ฉันชอบคุยกับพ่อ ฉันรู้สึกสบายใจดี เมื่อมีเรื่องกลุ้มใจ มืดแปดด้าน หาทางออกไม่เจอ ฉันว่าฉันควรขอคำอวยพรจากพ่อ ฟังคำพ่อเพราะว่าฟังคำพ่อ ก็เหมือนฟังธรรมะ เพราะเราไม่ใช่เรา แต่มีกิเลสหรือมารเข้ามาบังคับใจเรา พ่อบอกอยู่เสมอ ฉันว่าถ้าฉันทำได้ก็คงจะบวชหรือว่าฉันคงจะปล่อยวางได้นาน พ่อเป็นช่างศิลปะปูนปั้น พ่อมีการศึกษาไม่สูงนัก สมัยก่อน ครอบครัวของพ่อไม่ได้มีฐานะ พ่อไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนเหมือนกับคนอื่น แม่เคยบอกว่าถ้าพ่อมีโอกาสเรียนคงเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนไปแล้ว เพราะพ่อจบแค่ ป.สี่แต่ก็หามีความรู้น้อยไม่ เพราะอาศัยประสบการณ์ในการพัฒนางาน พ่อไม่ได้มีฝีมืออาชีพเหมือนคนอื่น เพราะไม่มีโอกาสเรียนในโรงเรียนศิลปะ ไม่ได้เรียนเทคนิคสีเท่าไหร่ แต่ด้วยชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง งานของพ่อเป็นงานแบบครูพักรักจำคือจำแล้วนำมาทำเอง
ฉันรู้ว่าทุกคนมีเรื่องปวดหัวเข้ามาในชีวิต แล้วแต่ว่าจะหาทางออกอย่างไรกัน บางทีปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็แค่แนะนำเรา บางทีก็เหมือนความคิดเรา ปรึกษาแม่ ก็เกิดความลังเลสงสัย
และทั้งเพื่อนทั้งแม่ก็เป็นผู้หญิง ความคิดชอบโลเล ไม่เที่ยงหรือแน่วแน่ เอาอะไรแน่ไม่ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่เคยปรึกษาพ่อในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ฉันว่าฉันโตขึ้น พอที่จะมีเหตุผลในการตัดสินใจทำทุกสิ่งที่อย่างด้วยตัวเอง แต่ฉันอยากฟังคำพ่อเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของใจให้ดีขึ้น ฟังแล้วสดับทันที เพราะพ่อออกจะธรรมะธรรมโมหน่อย เพราะพ่อเคยเป็นเจ้าอาวาส วัดทรายมูล ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย ถึงแปดปี แทบไม่เชื่อว่าจะมาเจอแม่ พ่อสึกออกมาเพราะว่าต้องออกมาทำอาชีพดูแลครอบครัว พ่อแม่ จนกระทั่งเจอแม่
แม่เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด และเป็นผู้หญิงที่เอาใจใส่ครอบครัวดีมาก พ่ออยากให้แม่อยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปทำงานเหน็ดเหนื่อย ให้ดูแลบ้านดูแลลูก พ่อไม่ค่อยบ่นใคร ไม่เคยปิดกั้นอิสรภาพ เสรีภาพ ให้โอกาสและเคารพเหตุผลของทุกคน ครอบครัวเราใจดีและมีเมตตา แม้ฉันจะเป็นคนที่ใจร้อนรุ่ม โหดเป็นบางครา แต่ก็ไม่อาจที่จะลืมวัฒนธรรมการให้เลย การให้ทานที่ดี คือการให้อภัย (อภัยทาน)การให้ธรรมะยิ่งเป็นกุศล คนเราไม่ต้องสร้างบุญด้วยการบริจาคทานเสมอไป (ไม่ได้ห้ามให้ทำ)แต่เราอาจให้อย่างอื่น เช่น ให้สิ่งดีๆเป็นการตอบแทนแก่ผู้ที่เขาให้สิ่งดีๆแก่เรา หรือไม่ถือโทษโกรธเขา ให้โอกาสและกำลังใจ แต่การให้อภัยบางอย่างมันอาจจะเป็นอุปสรรคแก่ใจเรา แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เราให้อภัยแล้ว สิ่งที่เขาผู้นั้นต้องทำคือความประสงค์ของเรา เช่น เพื่อนต่อว่าเราด้วยคำไม่สุภาพ เราให้อภัยเขา แต่เขาไม่ควรทำเช่นนี้อีก
วันนี้ทั้งวันฉันปวดหัวไปหมด จนตอนนี้ยังไม่รักตัวเอง นอนดึกตลอด เพราะหาอะไรทำ เพราะนอนไม่หลับเลย อีกอย่าง วันศุกร์นี้เพื่อนรูมเมทฉันก็ไม่อยู่ ต้องนอนคนเดียวอีกดังเดิม จะกลับบ้านก็ยังต้องคิดอยู่ เพราะว่ามีเรียนกฎหมายอาญาวันเสาร์ มันอิ๊ดขนาดเจ้า(มันเหนื่อยมากๆ) พรุ่งนี้ลองโทรไปหาพ่อ เผื่ออาจจะได้ข้อคิดดีๆกลับมา ตาอาจสว่างขึ้นบ้าง
จะได้ดำรงตนให้ดีกว่าเดิม...
และก็กะจะแวะไปเยี่ยมหนูเหวิน เพื่อนซี้ที่หอ เพราะไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเลย
จะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในที่เดิมๆ แล้วก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง...
เราจะไปวัด หรือไปขึ้นภู เราจะเชิดชูสิ่งใด มันก็ไม่เท่าเราเชิดชูความดีแต่อย่างใด
26/11/09
บทความโดย iviint

1 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีครับสาวกาสะลอง
    ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ

    ตอบลบ