16 ตุลาคม 2552

วิวัฒนาการของกฎหมายสากล


วิวัฒนาการของกฎหมายสากล


ในการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เรียกว่า "กฎหมาย" ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามวิวัฒนาการของแต่ละสังคม การพิจารณาถึงวิวัฒนาการของกฎหมายจึงจำต้องกระทำควบคู่ไปกับการพิจารณาถึงวิวัฒนาการของสังคม
ศาสตราจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สร้างทฤษฎีกฎหมายสามชั้น หรือกฎหมายสามยุค (อังกฤษ: Three-layered Law Theory) ขึ้นเพื่ออธิบายวิวัฒนาการของกฎหมาย กฎหมายสามชั้นก็คือชั้นของการกำเนิดขึ้นของกฎหมายตามลำดับ ซึ่งได้แก่

1. ยุคกฎหมายจารีตประเพณี หรือยุคกฎหมายชาวบ้าน (อังกฤษ: folk law) : ในบุรพกาลอันมนุษย์เริ่มมาสโมสรกันเป็นสังคมนั้น ได้เกิดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมประพฤติการณ์ของสมาชิกในสังคมนั้นโดยปรากฏตัวอยู่ในรูป "จารีตประเพณี" (อังกฤษ: customary practice)
จารีตประเพณี คือ ประเพณีที่นิยมและประพฤติกันสืบมา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว บางทีก็เรียกว่า "กฎหมายที่ดีของบรรพบุรุษ" (อังกฤษ: The Good Old Law) มีที่มาจากสามัญสำนึกและความสามารถในการจำแนกดีจำแนกชั่วของมนุษย์ จารีตประเพณีเช่นว่านี้เป็นสิ่งที่ใช้ความรู้สึกหรือเหตุผลธรรมดาสามัญสัมผัสก็เข้าใจเข้าถึงได้ เช่น บิดามารดามีหน้าอภิบาลบุตร บุตรมีหน้าที่อภิบาลบิดามารดาเมื่อยามท่านแก่เฒ่า การลักขโมยของผู้อื่นเป็นการกระทำที่มิชอบ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปคือ จารีตประเพณีนั้นมีองค์ประกอบอยู่สองประการ ดังนี้ 1) มีการกระทำทางกายภาพ กล่าวคือ มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นระยะยาวนานพอสมควร และ 2) มีองค์ประกอบทางจิตใจ กล่าวคือ สมาชิกในสังคมนั้นเห็นพ้องกันว่าเป็นเสมือนกฎหมาย จำเป็นต้องปฏิบัติตาม

2. ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย (อังกฤษ: jurist law) : ในยุคต่อ ๆ มา สังคมมีความเจริญขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น และมีความซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เมื่อผู้ใดมาละเมิดกฎหมายที่ปรากฏตัวอยู่ในรูปจารีตประเพณีดังกล่าวนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ ของสังคมย่อมมองว่าเป็นผิดเป็นชั่ว ต้องพิจารณาโทษสำหรับผู้ละเมิดนั้นเพื่อมิให้เกิดการกระทำเช่นนั้นอีก ความรู้สึกร่วมเช่นนี้ค่อย ๆ พัฒนาเป็น "กระบวนการยุติธรรม" ขึ้น
กระบวนการยุติธรรมนั้นประกอบด้วยขั้นตอนสองขั้นตอน คือ
1) กระบวนพิจารณา (อังกฤษ: proceedings) เป็นขั้นพิจารณาและตัดสินชึ้ขาดว่าใครผิดใครถูก และ
2) การบังคับคดี (อังกฤษ: execution) เป็นขั้นดำเนินการตามคำตัดสินชี้ขาดนั้น เช่น การลงโทษคนผิด การชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น เมื่อกระบวนการยุติธรรมนี้เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอก็กลายเป็นการสถาปนา "อำนาจตุลาการ"
อำนาจตุลาการนั้น เมื่อมีการใช้บ่อยขึ้น ๆ ก็เป็นการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อมาใช้แก่กรณีที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นตามกาลสมัยและอันซึ่งจารีตประเพณีอย่างเดิมไม่อาจใช้ได้ กฎเกณฑ์ใหม่เช่นว่านี้เป็นการเสริมเติมจารีตประเพณีเดิมให้มีรายละเอียดเหมาะสมแก่กาลเวลาและกรณี เรียกว่า "กฎหมายนักกฎหมาย" ดูตัวอย่างกรณีทั้งสามต่อไปนี้
กรณีที่หนึ่ง - นาย ก ล่าสัตว์ได้ตัวหนึ่ง นาย ข เข้ามาแย่ง หากให้ตัดสินทุกคนก็ย่อมตอบได้ว่า นาย ข เป็นฝ่ายผิด โดยไม่จำเป็นต้องไปร่ำเรียนกฎหมายที่ได้ก็รู้ได้ตัดสินได้เช่นนั้นโดยใช้สามัญสำนึก การใช้เหตุผลเช่นนี้เรียก "การใช้เหตุผลแบบธรรมดาสามัญ" (อังกฤษ: simple natural reasoning)
กรณีที่สอง - นาย ก พยายามฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งแต่ไม่ตาย สัตว์นั้นกระหืดกระหอบหนีเข้าไปตายหลังบ้านนาย ข นาย ก ตามไปได้ ใครจะมีสิทธิเป็นเจ้าของสัตว์นั้น กรณีเช่นนี้หากใช้เหตุผลที่ลึกล้ำขึ้นอีกระดับหนึ่งแยกแยะรายละเอียดของข้อเท็จจริง ก็จะพบว่านาย ก ควรได้สัตว์นั้น เพราะเป็นฝ่ายลงทุนลงแรงฆ่าและติดตามไปตัว แต่นาย ข อยู่เฉย ๆ มิได้กระทำอันใด ควรหรือจะได้สัตว์นั้น
กรณีที่สาม - นาย ก ยิงสัตว์ตัวหนึ่งแต่เฉียดไป สัตว์นั้นวิ่งหนีไปได้เข้าไปในหลังบ้านนาย ข นาย ข ยิงสัตว์นั้นตายลง นาย ก ติดตามไปได้พบและว่าสัตว์นั้นควรเป็นของตน กรณีเช่นนี้ใครควรจะได้สัตว์นั้น หากผู้ตัดสินมิได้แยกแยะโดยละเอียดตามข้อเท็จจริงก็อาจตัดสินไปตามกรณีที่สอง แต่หากวิเคราะห์แล้ว นาย ก มิได้ทำให้สัตว์นั้นสูญเสียความสามารถที่จะหนี สัตว์นั้นจึงมีอิสรภาพอยู่ เมื่อนาย ข ยิงสัตว์ที่มีอิสรภาพคือมิได้เป็นสมบัติของผู้ใดได้ ก็ควรจะได้สัตว์นั้นไป
สามกรณีนี้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นตามข้อเท็จจริง ซึ่งในกรณีหลัง ๆ ไม่อาจใช้เหตุผลธรรมดาสามัญมาจัดการได้นัก จึงจำต้องใช้เหตุผลที่เกิดจากความคิดแยกแยะเปรียบเทียบตามแต่กรณี เรียกว่า "การใช้เหตุผลทางกฎหมาย" (อังกฤษ: juristic reasoning) ซึ่งต่อมาการใช้เหตุผลเช่นนี้ก็ได้มีการเปิดสอนฝึกฝนและกลายมาเป็นวิชานิติศาสตร์

3. ยุคกฎหมายบัญญัติ ยุคกฎหมายนิติบัญญัติ หรือยุคกฎหมายเทคนิค (อังกฤษ: technical law) : ยุคถัดมา สังคมมีความเจริญรุดหน้าและเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น การดำรงชีวิตมีความสลับซับซ้อนตามไปด้วย จำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างปัจจุบันหรือเฉพาะหน้า หรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะบางประการ ซึ่งบางทีจารีตประเพณีหรือกฎหมายอย่างเดิมก็มีข้อจำกัดไม่อาจสนองความต้องการนั้นได้ และบางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีเอาเสียเลย เช่น เรื่องการตัดไม้ มีกำหนดว่าไม้บางประเภทห้ามตัด ไม้บางประเภทจะตัดหรือเคลื่อนย้ายต้องได้รับอนุญาตก่อน ปัญหามีอยู่ว่าทำไมต้องห้ามเช่นนั้น ในเมื่อโบราณก็ตัดก็ทำกัน และการตัดไม้มิใช่เรื่องผิดศีลธรรมอันใดเลย แต่เป็นความจำเป็นในปัจจุบันที่ต้องควบคุมและรักษาสมดุลทางธรรมชาติ จึงกำหนดเช่นนั้น เป็นต้น
กฎหมายสมัยใหม่เช่นว่านี้มักมีองค์กรประจำทำหน้าที่กลั่นกรองและประกาศใช้ เรียกว่า "ฝ่ายนิติบัญญัติ" ซึ่งมีกำเนิดแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18
รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า

"...กฎหมายเทคนิคไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมคอยหนุนหลัง ถ้าใครผิดก็ไม่รู้สึกว่าคนนั้นทำชั่วหรือทำผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้นกฎหมายเทคนิคจึงไม่มีลักษณะบังคับตามธรรมชาติ (spontaneous sanction)...เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าชั่ว..."


ขอขอบคุณ http://th.wikipedia.org/wiki/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น