
แนวคิดแม่บทเกี่ยวกับกฎหมาย
กฎหมายมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของบุคคลเป็นอย่างยิ่ง กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปควรรู้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับให้ทุกคนต้องรู้กฎหมาย แต่ก็มีหลักกฎหมายอยู่ว่า "ความไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" (ละติน: ignorantia juris non excusat หรือ ignoraritia legis non excusat) เพราะหากมีคนกล่าวดังนั้นได้ การบังคับใช้กฎหมายก็มิได้ผล
แม้กฎหมายจะเป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ แต่นิยามของกฎหมายนั้นก็มีมากมายเหลือเกินและได้รับการถกเถียงมานานแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันก็ยังหาที่ยุติมิได้ ก็นิยามของกฎหมายนั้นย่อมแตกต่างไปตามแต่ผู้ให้นิยาม อย่างไรก็ดี มีสำนักทางวิชากฎหมายอยู่สามฝ่ายซึ่งให้นิยามไว้ ดังต่อไปนี้
แม้กฎหมายจะเป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ แต่นิยามของกฎหมายนั้นก็มีมากมายเหลือเกินและได้รับการถกเถียงมานานแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันก็ยังหาที่ยุติมิได้ ก็นิยามของกฎหมายนั้นย่อมแตกต่างไปตามแต่ผู้ให้นิยาม อย่างไรก็ดี มีสำนักทางวิชากฎหมายอยู่สามฝ่ายซึ่งให้นิยามไว้ ดังต่อไปนี้
สำนักกฎหมายธรรมชาติ
สำนักกฎหมายธรรมชาติ (อังกฤษ: the Natural Law Thoery) เกิดขึ้นในสมัยกรีก โดยเป็นผลพลอยได้จากแนวคิดเรื่องสิทธิโดยธรรมชาติ สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือ "...พลังแห่งธรรมชาติ เป็นจิตใจและเหตุผลของผู้ทรงภูมิปัญญา เป็นมาตรฐานชั่งน้ำหนักความยุติธรรมและอยุติธรรม กฎหมายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการสร้างสรรค์ความมีเหตุผลอันเป็นหนึ่งของกฎอันนิรันดร กฎหมายธรรมชาติเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นโดยเหตุผลและเป็นงานของเหตุผล"
สำนักนี้เชื่อว่า กฎหมายนั้นมนุษย์มิได้สร้างขึ้นมา แต่เกิดขึ้นจากธรรมชาติโดยตรงเสมอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ หรือเกิดจากพระเจ้าสถาปนาขึ้น หรือเกิดจากความรู้สึกของมนุษย์ที่สามารถแยกผิดชอบชั่วดีได้ กับทั้งเห็นว่ากฎหมายมีลักษณะพิเศษคือใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาไม่มีวันพ้นสมัย และอยู่เหนือรัฐอีกด้วย
แนวคิดของสำนักนี้มีอิทธิพลต่อประเทศฝรั่งเศสและประเทศอื่น ๆ ในโลกตะวันตกมาก เห็นได้จากคำประกาศอิสรภาพจากอังกฤษของอเมริกาใน พ.ศ. 2319 ซึ่งมีความว่า "เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็นที่ประชาชาติหนึ่งจำต้องเลิกล้มความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เคยมีกับประชาชนอีกชาติหนึ่ง เพื่อที่จะแยกทางเดินเป็นอิสระเท่าเทียมกับชาติทั้งหลายในโลกตามสิทธิในกฎหมายธรรมชาติและกฎของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จึงจำต้องประกาศสาเหตุซึ่งทำให้ตัดสินใจประกาศเอกราช เพื่อให้มนุษยชาติทั้งหลายได้รับรู้ไว้" แนวคิดของสำนักนี้เสื่อมลงเพราะทนทานต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทฤษฎีใหม่ ๆ ที่มีเหตุผลกว่าแนวคิดอันอิงเทวนิยมไม่ไหว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงตกค้างและมีอิทธิพลเหนือจิตใจนักกฎหมายในด้านอุดมคติและคุณธรรมอยู่มาก
สำนักกฎหมายธรรมชาติ (อังกฤษ: the Natural Law Thoery) เกิดขึ้นในสมัยกรีก โดยเป็นผลพลอยได้จากแนวคิดเรื่องสิทธิโดยธรรมชาติ สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือ "...พลังแห่งธรรมชาติ เป็นจิตใจและเหตุผลของผู้ทรงภูมิปัญญา เป็นมาตรฐานชั่งน้ำหนักความยุติธรรมและอยุติธรรม กฎหมายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากการสร้างสรรค์ความมีเหตุผลอันเป็นหนึ่งของกฎอันนิรันดร กฎหมายธรรมชาติเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นโดยเหตุผลและเป็นงานของเหตุผล"
สำนักนี้เชื่อว่า กฎหมายนั้นมนุษย์มิได้สร้างขึ้นมา แต่เกิดขึ้นจากธรรมชาติโดยตรงเสมอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ หรือเกิดจากพระเจ้าสถาปนาขึ้น หรือเกิดจากความรู้สึกของมนุษย์ที่สามารถแยกผิดชอบชั่วดีได้ กับทั้งเห็นว่ากฎหมายมีลักษณะพิเศษคือใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาไม่มีวันพ้นสมัย และอยู่เหนือรัฐอีกด้วย
แนวคิดของสำนักนี้มีอิทธิพลต่อประเทศฝรั่งเศสและประเทศอื่น ๆ ในโลกตะวันตกมาก เห็นได้จากคำประกาศอิสรภาพจากอังกฤษของอเมริกาใน พ.ศ. 2319 ซึ่งมีความว่า "เมื่อปรากฏว่ามีความจำเป็นที่ประชาชาติหนึ่งจำต้องเลิกล้มความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เคยมีกับประชาชนอีกชาติหนึ่ง เพื่อที่จะแยกทางเดินเป็นอิสระเท่าเทียมกับชาติทั้งหลายในโลกตามสิทธิในกฎหมายธรรมชาติและกฎของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จึงจำต้องประกาศสาเหตุซึ่งทำให้ตัดสินใจประกาศเอกราช เพื่อให้มนุษยชาติทั้งหลายได้รับรู้ไว้" แนวคิดของสำนักนี้เสื่อมลงเพราะทนทานต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทฤษฎีใหม่ ๆ ที่มีเหตุผลกว่าแนวคิดอันอิงเทวนิยมไม่ไหว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงตกค้างและมีอิทธิพลเหนือจิตใจนักกฎหมายในด้านอุดมคติและคุณธรรมอยู่มาก
สำนักกฎหมายบ้านเมือง
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของสำนักนี้ยิ่งขึ้น โปรดทำความเข้าใจแนวคิดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการด้วย
สำนักกฎหมายบ้านเมือง (อังกฤษ: the Positive Law Theory) เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ โดยมีแนวคิดขัดแย้งกับสำนักกฎหมายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความประพฤติที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม มีตัวตนอยู่จริง และเป็นที่ยอมรับในสังคม ไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรมีหรือเป็นนามธรรมตามที่สำนักกฎหมายธรรมชาตินำเสนอ
ศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ต ลีโอเนล อาดอลฟัส ฮาร์ต (Herbert Lionel Adolphus Hart) ปรัชญาเมธีทางนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า สำนักนี้เห็นว่า กฎหมายมีลักษณะเป็นคำสั่งของมนุษย์ การวิเคราะห์แนวคิดทางกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ควรแยกออกจากการสืบค้นหรือตรวจสอบทางประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาโดยสิ้นเชิง ตลอดจนต้องไม่เป็นการประเมินคุณค่าเชิงวิพากษ์วิจารณ์ด้วย ปรัชญาเมธีคนสำคัญของสำนักนี้ คือ จอห์น ออสติน (John Austin) ซึ่งว่า กฎหมายคือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ในการกำหนดมาตรฐานความประพฤติของผู้อยู่ใต้บังคับ ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีโทษ
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของสำนักนี้ยิ่งขึ้น โปรดทำความเข้าใจแนวคิดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการด้วย
สำนักกฎหมายบ้านเมือง (อังกฤษ: the Positive Law Theory) เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ โดยมีแนวคิดขัดแย้งกับสำนักกฎหมายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง สำนักนี้เห็นว่ากฎหมายคือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความประพฤติที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม มีตัวตนอยู่จริง และเป็นที่ยอมรับในสังคม ไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรมีหรือเป็นนามธรรมตามที่สำนักกฎหมายธรรมชาตินำเสนอ
ศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ต ลีโอเนล อาดอลฟัส ฮาร์ต (Herbert Lionel Adolphus Hart) ปรัชญาเมธีทางนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า สำนักนี้เห็นว่า กฎหมายมีลักษณะเป็นคำสั่งของมนุษย์ การวิเคราะห์แนวคิดทางกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ควรแยกออกจากการสืบค้นหรือตรวจสอบทางประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาโดยสิ้นเชิง ตลอดจนต้องไม่เป็นการประเมินคุณค่าเชิงวิพากษ์วิจารณ์ด้วย ปรัชญาเมธีคนสำคัญของสำนักนี้ คือ จอห์น ออสติน (John Austin) ซึ่งว่า กฎหมายคือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ในการกำหนดมาตรฐานความประพฤติของผู้อยู่ใต้บังคับ ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีโทษ
สำนักกฎหมายบ้านเมืองนี้มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางกฎหมายในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่งด้วย เนื่องจากนักกฎหมายไทยในอดีตเคยเอาแนวคิดของสำนักนี้มาเผยแพร่และยึดถือกันอยู่พักใหญ่ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งว่า
"เราจะต้องระวัง อย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความดีความชั่วฤๅความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งแบบที่เราจะต้องปฏิบัติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีก็จะชั่วได้ฤๅไม่เป็นยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรมมีบ่อเกิดหลายแห่ง เช่น ตามศาสนาต่าง ๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียวคือจากผูเปกครองแผ่นดินฤๅที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น"
สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์
สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (อังกฤษ: the Historical School of Law) เห็นว่า "...กฎหมายโดยแท้จริงหาใช่เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ผู้มีอำนาจตรากฎหมายสามารถเขียนขึ้นได้ตามใจปรารถนาโดยพลการ ทว่ากฎหมายเป็นผลผลิตของพลังภายในสังคมที่ทำงานของมันเองอย่างเงียบ ๆ และมีรากเหง้าที่หยั่งลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของประชาชาติ โดยมีกำเนิดและเติบโตเรื่อยมาจากประสบการณ์และหลักความประพฤติทั่วไปของประชาชนซึ่งปรากฏอยู่ในรูปประเพณีหรือ 'จิตสำนึกร่วมกันของประชาชน' (common consciousness of the people) และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวกำหนดธรรมชาติของกฎหมายคือลักษณะเฉพาะของชาติหนึ่ง ๆ ที่จัดเป็นเสมือน 'จิตวิญญาณของประชาชน' (the spirit of the people) ในชาตินั้น ๆ...มองจากแง่นี้ กฎหมายจึงเปรียบได้กับภาษาซึ่งมีกำเนิดและวิวัฒนาการเป็นการเฉพาะในแต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์"
หลักการสำคัญของสำนักนี้ว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบ มิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้น การนิติบัญญัติโดยเจตจำนงของมนุษย์จึงมีความสำคัญน้อยว่าของธรรมชาติและจารีตประเพณี และนักกฎหมายนั้นสำคัญกว่านักนิติบัญญัติ เนื่องจากเป็นผู้มาก่อนและมีวิวัฒนาการเคียงคู่กับประชาชนมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ กฎหมายมิใช่สิ่งสมบูรณ์พร้อมสรรพ ไม่อาจนำมาปรับใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาสำหรับกรณีอย่างเดียวกัน สรุปได้ว่า สำนักนี้มีความเห็นเป็นการประสมประสานระหว่างสองสำนักข้างต้น โดยเน้นว่ากฎหมายเกิดจากพัฒนาการด้านประวัติศาสตร์ของแต่ละชนชาติ ไม่เชื่อว่ากฎหมายสามารถค้นแล้วพบได้เลยในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ
สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (อังกฤษ: the Historical School of Law) เห็นว่า "...กฎหมายโดยแท้จริงหาใช่เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่างที่ผู้มีอำนาจตรากฎหมายสามารถเขียนขึ้นได้ตามใจปรารถนาโดยพลการ ทว่ากฎหมายเป็นผลผลิตของพลังภายในสังคมที่ทำงานของมันเองอย่างเงียบ ๆ และมีรากเหง้าที่หยั่งลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของประชาชาติ โดยมีกำเนิดและเติบโตเรื่อยมาจากประสบการณ์และหลักความประพฤติทั่วไปของประชาชนซึ่งปรากฏอยู่ในรูปประเพณีหรือ 'จิตสำนึกร่วมกันของประชาชน' (common consciousness of the people) และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวกำหนดธรรมชาติของกฎหมายคือลักษณะเฉพาะของชาติหนึ่ง ๆ ที่จัดเป็นเสมือน 'จิตวิญญาณของประชาชน' (the spirit of the people) ในชาตินั้น ๆ...มองจากแง่นี้ กฎหมายจึงเปรียบได้กับภาษาซึ่งมีกำเนิดและวิวัฒนาการเป็นการเฉพาะในแต่ละชาติแต่ละเผ่าพันธุ์"
หลักการสำคัญของสำนักนี้ว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบ มิใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้น การนิติบัญญัติโดยเจตจำนงของมนุษย์จึงมีความสำคัญน้อยว่าของธรรมชาติและจารีตประเพณี และนักกฎหมายนั้นสำคัญกว่านักนิติบัญญัติ เนื่องจากเป็นผู้มาก่อนและมีวิวัฒนาการเคียงคู่กับประชาชนมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ กฎหมายมิใช่สิ่งสมบูรณ์พร้อมสรรพ ไม่อาจนำมาปรับใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาสำหรับกรณีอย่างเดียวกัน สรุปได้ว่า สำนักนี้มีความเห็นเป็นการประสมประสานระหว่างสองสำนักข้างต้น โดยเน้นว่ากฎหมายเกิดจากพัฒนาการด้านประวัติศาสตร์ของแต่ละชนชาติ ไม่เชื่อว่ากฎหมายสามารถค้นแล้วพบได้เลยในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ
ขอขอบคุณ http://th.wikipedia.org/wiki/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น