29 ตุลาคม 2552

บทความ จุ่งจาบ้านอุ๊ย




จุ่งจา ในที่นี้หมายถึง เปลแขวน


อุ๊ย ในที่นี้หมายถึง สรรพนามใช้เรียกบุคคลอาวุโส (ปู่ ยา ตา ยาย คนแก่คนเฒ่า)


หลังจากที่ทำภารกิจขุดร่องวางท่อประปา


ก็จัดการไปช่วยพ่อ ลงปั๊มบ่อน้ำใหม่(เผอิญหมู่บ้านไม่เจริญ ต้องใช้น้ำบ่อ)


แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สะอาดนะ


มันยังสะอาดกว่าน้ำประปาอีก


แบบไม่ต้องกรอง ประปาบางที่ปฏิกูลมากมาย ต้องทำการกรอง ไม่ชื่นใจเล้ย


แต่ถ้าจะใช้ดื่มกินแนะนำน้ำดื่มที่ใช้สำหรับดื่ม เพราะรักษาสุขภาพอนามัยด้วย


พูดถึงจุ่งจา หรือบางทีใช้เรียกแทน ชิงช้าทั่วไปน่ะแหละ


แต่วันนี้เป็นเปลนอน เสร็จภารกิจอันหนักแล้วก็ไปนอนจุ่งจาเล่น


ร้องเพลงซะเสียงดังก้อง เผลอหลับไม่รู้เรื่องเลยด้วยความอ่อนเพลีย


คิดถึงบทเพลงเห่กล่อมเด็กทางภาคเหนือ .....มันช่างไพเราะจริงๆ


ตั้งแต่ตาและยายจากไป บ้านก็ตกเป็นของแม่ เพราะหลังจากที่แบ่งทรัพย์สินมรดกแล้ว แม่ก็ได้ซื้อไว้


เพราะไม่อยากทำการรื้อ ขาย เหตุผลเพราะยังคิดถึงตายายอยู่เสมอ


หลังจากที่ท่านจากไป(สังขารไม่เที่ยง) วิถีชืวิตลูกหลานก็ได้เปลี่ยนไปด้วย


พูดถึงสมัยก่อน ฉันยังเด็กๆอยู่เลย ลูกหลานไปไหนไกลไม่ได้เลยสักคน ยายเป็นคนห่วงลูกหลานมาก


ตาก็มีนิสัยดุ ใครเลยไม่กล้าทำอะไรเราเลย


ทุกเย็น ยายก็มาหาที่บ้าน ก่อนจะกลับก็หอม(จูบ)ที่หน้าผากหลานๆ


ทุกข์ของลูกหลานก็เหมือนกับทุกข์ของยาย


แบบว่าไม่อยากให้ลูกหลานเหน็ดเหนื่อยเลย


วิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆเมื่อก่อนฉันยังคงไม่ลืม


ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ ทุกคนก็จะพร้อมหน้ากันตอนค่ำๆ เพื่อผิงไฟ บ้างก็หยอกล้อ โลดเล่น พูดคุย

เผามันบ้าง นำกล้วยมาปิ้งกินบ้าง บรรยากาศตอนนั้นยังจำได้ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นหนาวกว่า สดชื่นกว่า เชียงรายไม่ได้ร้อนเหมือนตอนนี้เลย....


ตาก็หาไข่นกเป็ดน้ำมาให้ทาน ไข่มันใสๆอร่อยมาก ไออุ่นรักนั้นมันฝังใจมาก ไม่เคยลืมเลือน....


หลังจากที่ลูกๆได้มีครอบครัวกันดีหมด ตากับยายก็ใช้ชีวิตอยู่แบบธรรมดา


ทำให้ฉันนั้นเป็นเด็กเรียบร้อย พูดน้อยมาก ตาโตๆของฉัน แสดงถึงความดุ ซึ่งมันขัดแย้งกับนิสัยจริงๆ

(แต่ในตอนนี้ ห้าวยังกะอะไร พูดมาก แต่ตาดุเหมือนเดิม)
จะมีใครบ้างไหม มองนัยน์ตาคู่นี้เป็นมิตรบ้าง มีแต่คนทักว่าตาดุ ทำให้กลายเป็นคนหน้าตาดุๆ


ด้วยเอกลักษณ์ที่มีมาแต่เด็ก ทำให้ฉันควบคุมตัวเองไม่ให้เป็นเด็กดื้อได้ ฉันต่างจากเด็กทั่วไป


ซึ่งไม่เกเรเลย เพราะยายดุประจำ ฉันมีโรคประจำตัว เลยขาดโอกาสที่จะได้ละเล่นบางอย่าง(such as เช่น เล่นน้ำสงกรานต์ วิ่งแข่ง)


แต่นี่คือความห่วงใยฉันรู้ดี


หน้าหนาวแบบนี้ตากับยายทำอาชีพสานใบคา (ไพคามุง) ขาย


พูดแล้วตอนนี้ยิ่งคิดถึงเป็นทวีคูณ ความหนาวห้อมล้อมเข้ามาทุกที เฮ้อ...อยากกลับไปเป็นดังเก่า


แต่ตอนนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างโยกย้ายกันไปคนละที่ละทาง


บ้างก็ไปทำงานต่างถิ่น แต่งงานมีครอบครัว เลยลืมวิถีชีวิตเก่าๆ แม้วิถีชีวิตและธรรมเนียม เล็กๆน้อยๆ


เช่น การห่อขนม(ห่อข้าวต้ม ขนมจ๊อก) ช่วงสงกรานต์หรือนำไปวัดบ้าง


การประกอบอาหารแบบใช้เตาหิน และอาหารเหนือๆบางอย่าง ซึ่งตอนนี้อาหารบางอย่างก็ไม่เคยได้ทานอีกเลย บางทีหาทานยากมาก


ยุคสมัยใหม่มันเข้ามาแทนที่สังคมเก่าๆไป ทุกอย่างก็เป็นเทคโนโลยีซะหมด

แม้แต่การทำอาหารด้วยเตาแก๊ส การแต่งตัวไปวัด


ทุกครั้งที่ไปวัดกับยาย ลูกหลานทุกคนก็จะไม่พลาดกระโปรงตัวโปรดของทุกๆคน


ของน้องจะเป็นกระโปรงสียินส์น้ำเงิน ของพี่แฝด(ลูกพี่ลูกน้อง)คนหนึ่งจะเป็นกระโปรงออกสีครีม บ้างก็ยีนส์ คนน้องจะเป็นกระโปรงบานสีฟ้ามีแถบ ส่วนฉันจะเป็นกระโปรงยีนส์สีเทา บ้างก็ดำ
แต่ตอนนี้บางคนก็ไม่มีเวลาได้เข้าวัดเลย (แม้แต่ฉันยังเข้าวัดแค่ทุกวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น)

ยุคสมัยเปลี่ยน แม้แต่สลุง(ภาชนะใส่น้ำคล้ายขันน้ำมีลวดลาย)ไปวัด ก็ยังนิยมกันเปลี่ยนเป็นถาดหรือตะกร้าถือสวยๆมากขึ้น ขนมห่อก็ไม่ค่อยมีแล้ว ไปซื้อเอาพวกขนมเบเกอร์รี่ต่างๆ ขนมปังบ้าง จะไปวัดทั้งทีก็ขับมอเตอร์ไซต์ ไม่เหมือนแต่เดิมที่เดินกันไปแถวๆพร้อมเสียงวิ๊ดวิ้วจากเด็กผู้ชายที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เพราะลูกหลานยายมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น


เฮ้อ จุ่งจาน้อยที่แขวนไว้ บ่งบอกถึงอดีตได้ดี ที่เมื่อก่อนแย่งกันเล่น ผลัดกันนอน กันไกว ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหล


ฉันอยากหมุนย้อนเวลาได้จริงๆ


สำนึกรักบ้านเกิด.....


2 ความคิดเห็น:

  1. คุณหนูยิ้ม31 ตุลาคม 2552 เวลา 18:27

    อ่านแล้วหนุกอ่ะ
    เอามาลงเรื่อยๆเลยนะ
    จะมาเรียนภาษาเหนือด้วย
    ว่าแต่ว่าไปนั่งจุ่งจาด้วยได้ไหม
    อิอิ ทางบ้านเรามันหายากแล้วอ่ะ

    ตอบลบ
  2. ว่าไงอาจารย์มิ้น
    สอนเด็กเสร็จยัง
    สงสัยเหนื่อยเนาะ
    แก่แล้ว นั่งสอนเด็กโต ฮ่าๆ

    ตอบลบ